วิธีการทางประวัติศาสตร์
คือ กระบวนการศึกษาประวัติศาสตร์เพื่อให้ได้ความรู้และคำตอบที่เชื่อว่าสะท้อนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอดีตได้ถูกต้องมากที่สุด
ซึ่งไม่มีใครสามารถตอบได้ว่าข้อเท็จจริงที่ถูกต้องคืออะไร ดังนั้น
จึงต้องมีกระบวนการศึกษา และการใช้เหตุผลในการตรวจสอบความถูกต้องของหลักฐานและนำไปใช้อย่างถูกต้อง
ทำให้การศึกษาประวัติศาสตร์เป็นศาสตร์ที่สะท้อนข้อเท็จจริงที่แตกต่างจากนิทาน
นิยาย หรือเรื่องบอกเล่าที่เลื่อนลอย
การศึกษาประวัติศาสตร์เริ่มจากการตั้งคำถามพื้นฐานหลัก
5 คำถาม คือ
·
เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นในอดีต (What)
·
เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นเมื่อไหร่ (When)
·
เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นที่ไหน (Where)
·
ทำไมจึงเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น (Why)
วิธีการทางประวัติศาสตร์ประกอบด้วยขั้นตอนต่าง
ๆ ได้แก่
1. การกำหนดหัวเรื่องที่จะศึกษา
คือ การกำหนดประเด็นหรือหัวเรื่องที่นักเรียนสนใจ ต้องการรู้รายละเอียดที่ลึกซึ้งหรือสงสัยในความรู้ที่อธิบายกันในปัจจุบัน
การกำหนดหัวเรื่องจะช่วยให้นักเรียนสามารถกำหนดประเด็นที่จะศึกษาได้ครอบคลุมกับเนื้อเรื่องที่สนใจศึกษาได้มากที่สุด
2. การรวบรวมหลักฐาน คือ
การรวบรวมทั้งจากหลักฐานชั้นต้นหรือหลักฐานปฐมภูมิ กับหลักฐานชั้นรองหรือหลักฐานทุติยภูมิ
ซึ่งจะช่วยให้นักเรียนได้ข้อมูลสำหรับนำมาใช้ในการศึกษาเรื่องราวหรือเหตุการณ์ต่างๆตรงตามหัวข้อที่นักเรียนกำหนดไว้
3. การประเมินคุณค่าของหลักฐาน
คือ
การประเมินหลักฐานทั้งหลายที่รวบรวมมาว่าหลักฐานใดมีความสำคัญควรแก่การเชื่อถือ
เชื่อมั่น ซึ่งจะให้ข้อมูลในการศึกษาเรื่องราวได้ดีที่สุด
ซึ่งจะช่วยให้นักเรียนทราบว่าหลักฐานประเภทใดที่มีความน่าเชื่อถือและสามารถนำมาใช้อ้างอิงในการศึกษาได้อย่างถูกต้องเหมาะสม
4. การวิเคราะห์
สังเคราะห์ และจัดหมวดหมู่ข้อมูล คือ การนำข้อเท็จจริงที่ผ่านการวิเคราะห์มารวบรวมจัดหมวดหมู่
เพื่ออธิบายประเด็นศึกษาที่กำหนดไว้ในขั้นตอนที่ 1 ซึ่งจะช่วยให้นักเรียนสามารถนำข้อมูลที่ได้มา
วิเคราะห์ถึงสาเหตุและผลกระทบ รวมทั้งปัจจัยต่างๆตรงกับหัวข้อที่นักเรียนสนใจศึกษา
5. การเรียบเรียงหรือการนำเสนอ
คือ การนำเสนอผลการศึกษาค้นคว้าและตอบคำถามที่นักเรียนสงสัย สนใจ
หรืออยากรู้ตามขั้นตอนที่ 1 ซึ่งจะช่วยให้นักเรียนรู้จักนำข้อมูลที่ได้จากการศึกษามานำเสนอต่อเพื่อนร่วมชั้นเรียนหรือบุคคลอื่นให้เข้าใจในสิ่งที่นักเรียนได้ศึกษาค้นคว้าตามหัวข้อที่กำหนด
การวิเคราะห์และสังเคราะห์เรื่องราวหรือเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์นั้นมีจุดมุ่งหมายคือ
1.
เพื่อแยกแยะข้อมูลทั้งที่เป็นข้อเท็จจริง
และความเห็นออกจากกัน
2.
เพื่อรวบรวมข้อมูลทั้งที่เป็นข้อเท็จจริงและความเห็นให้เป็นหมวดหมู่
3.
เพื่อหาความหมายของข้อมูล
4.
เพื่อสรุปความเข้าใจของตนเอง
ประโยชน์ของการศึกษาประวัติศาสตร์
การศึกษาประวัติศาสตร์มีประโยชน์ต่อผู้ศึกษาดังนี้
1. ก่อให้เกิดความรักความภาคภูมิใจในชาติบ้านเมืองของตน
คือทำให้เรารู้ถึงความเสียสละของบรรพบุรุษที่ได้สร้างบ้านเมืองมา
รักชาติบ้านเมืองไว้ด้วยชีวิต สร้างสมวัฒนธรรมอันดีงามมาสู่รุ่นลูกหลานจึงก่อให้เกิดความภูมิใจ
รักหวงแหนมรดกที่บรรพบุรุษทิ้งไว้
ต้องการที่จะอนุรักษ์และสืบสานสิ่งที่ดีงามไปยังคนรุ่นลูกรุ่นหลานของเราต่อไป
2. ทำให้เข้าใจทัศนคติของผู้อื่น
การศึกษาประวัติศาสตร์ช่วยให้เราเข้าใจความคิดความรู้สึกของคนในสังคมต่างๆ
และในเวลาต่าง ๆ กัน
3. ทำให้ได้บทเรียนจากประวัติศาสตร์
เหตุการณ์หรือพฤติกรรมของมนุษย์ในอดีตย่อมมีทั้งด้านดีและด้านร้าย
พฤติกรรมใดที่นำความเสียหายมาสู่สังคมส่วนรวมในอดีต
ซึ่งอาจส่งผลร้ายมาสู่ปัจจุบันและเชื่อมโยงไปถึงอนาคตด้วย เราก็จำไว้เป็นบทเรียน ไม่สร้างความเสื่อมเสียเช่นนั้นอีก
เหตุการณ์หรือพฤติกรรมในทางดี เราก็นำมาเป็นแบบอย่างในการประพฤติปฏิบัติ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น